The Little Prince Museum บ้านของเจ้าขายน้อยท่ามกลางภูเขาฮาโกเน่
เดินทางสู่ความไร้ความเดียงสา ในพิพิธภัณฑ์ที่เตือนให้ความเป็นเด็กในตัวเราชัดเจนยิ่งขึ้นในความทรงจำ
”Musee du Petit Prince de Saint Exupery”
วันนี้เราก็ยังคงอยู่กันที่ Hakone ดินแดนในหุบเขาที่เต็มไปด้วยควันอุ่นๆที่พวยพุ่งจากบ่อน้ำพุร้อนกันเหมือนเช่นเคย
และแน่นอนว่า Hakone ที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักกันในวันนี้ก็ย่อมไม่ใช่แค่การไปกินไข่ดำ ดูภูเขาไฟฟูจิหรือล่องเรือโจรสลัดแต่อย่างใด
หลังจากที่ในตอนเช้าเราได้ไปเดินเล่นใน Hakone Open air museum กันมาแล้ว บ่ายนี้เราจะนั่งรถบัสไปยังมิวเซียมอีกแห่งหนึ่ง
ที่ซ่อนตัวอยู่ในฮาโกเน่เช่นกัน นั่นก็คือ ”Musee du Petit Prince de Saint Exupery”
หรือพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อย พิพิธภัณฑ์ที่จะชวนให้คุณคิดถึงตัวเองในวันที่ยังเด็ก ไร้เดียงสา มีชีวิตชีวา และมีจินตนาการ :)
จากด้านหน้าของ Hakone Open air museum (หรือจากสถานี Hakone-Yumoto และป้ายรถอื่นๆตามสะดวก)
สามารถนั่งรถบัส Hakone-Tozan bus มาลงที่พิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยของเราได้เลยที่ป้าย “Kawamukai, Hoshino-ojisama museum”
แค่ชื่อป้ายก็ประทับใจแล้ว เพราะ Hoshi no ojisama นั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลได้ว่า ‘เจ้าชายแห่งดวงดาว’ นั่นเอง น่ารักจังเลยย
ป้ายรถบัส Chukoku no mori อยู่ฝั่งตรงข้าม Hakone Open air museum เลย
(อ่านบทความเรื่อง Hakone Open air museum ได้ที่นี่นะ :) )
ไม่นานเกินรอรถบัสคันเล็กของเราก็มารับ นั่งรถมาไม่นาน เมื่อเห็นธงที่มีลายเส้นคุ้นตาก็ถึงเวลาลงไปเยี่ยมบ้านของเจ้าชายตัวน้อยกันแล้ว
ช่วงใกล้คริสมาสต์แบบนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ก็ตกแต่งไฟประดับและต้นคริสมาสต์เอาไว้มากมาย
เจ้าชายน้อยและบ้านเลขที่ B612 ของเขาคอยทักทายผู้มาเยือนอยู่ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์เสมอ :)
เมื่อซื้อบัตรและเข้ามาสู่ตัวพิพิธภัณฑ์แล้ว แฟนหนังสือคงเป็นอันกรี๊ดแตกกันไปข้าง บรรยากาศภายในจำลองมาจากเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส
ในปี 1990 ตามช่วงเวลา และ สถานที่ที่คุณอองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรี ผู้เขียนเรื่องเจ้าชายน้อย ได้อาศัยอยู่ในสมัยเด็ก
และนอกจากอาคารสถานที่ๆจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศสแล้ว ยังมีสวนที่เต็มไปด้วยรูปปั้นของเหล่าตัวละครที่แสนคุ้นเคยในสีสันสดใส
รอต้อนรับเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายน้อยที่ทุกคนๆรัก, พระราชาที่(คิดว่าเขา)ปกครองดวงดาวทั้งปวง, นักธุรกิจผู้ไม่เคยว่าง,
คนจุดตะเกียงที่ดับและจุดไฟทุกๆ 1 นาที ฯลฯ
และที่ด้านในสุดของสวนก็คือโบสถ์ Saint-Maurice-de -Re’mens Chareau สถานที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆในวัยเด็กของคุณอองตวน
และนอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นรูปดอกกุหลาบ ดวงดาว และยังมีหมาจิ้งจอกซ่อนอยู่อีกด้วย
เมื่อเวลากลางวันค่อยๆจากไป แสงที่ระยิบระยับของดวงดาวก็สว่างขึ้น และปรากฎให้เราได้เห็นรูปทรงที่แท้จริงของสวนเล็กๆแห่งนี้
แน่นอนว่ารูปทรงนั้นไม่ใช่หมวก แต่เป็นงูเหลือมที่กินช้างเข้าไปทั้งตัวต่างหาก :)
แสงยามเย็นเกือบค่ำแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบเนอะ
เมื่อเราได้สัมผัสกับบ้านเกิดของคุณอองตวนก่อนที่เขาจะได้ไปเป็นนักบินและผ่านเรื่องราวมากมายจนสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานที่เรารู้จักกันดีแล้ว
ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักกับตัวตนของเขาให้มากขึ้นในส่วนของนิทรรศการหลักกันแล้ว
โดยนิทรรศการหลักนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ตึกสไตล์ฝรั่งเศสรอบตัวเรานี่เอง
เมื่อเข้าไปถึงเราก็ได้พบกับเครื่องบินสีแดงสดที่โผบินออกมาจากวรรณกรรมเล่มโปรดเป็นการส่งสัญญาณ
ว่าการเดินทางภายในโลกของเจ้าชายน้อย และอองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
(โดยส่วนใหญ่แล้วด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ จึงมีภาพแค่ห้องวิดีโอและห้องสุดท้ายที่อนุญาตให้ถ่ายเท่านั้นนะคะ)
ภายในพาเราไปทำความรู้จักกับชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตของคุณอองตวน โดยเริ่มต้นจากการชมวิดีทัศน์
และตามด้วยการเดินทางเข้าไปสู่ความทรงจำที่จำลองทั้งห้องนอนในสมัยเด็ก ห้องทำงาน บ้าน รวมไปถึงเอกสารและข้าวของเครื่องใช้จริงต่างๆ
ก็ถูกรวบรวมและจัดแสดงเอาไว้ให้ได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็นของสะสมหรือแม้แต่สมุดสเก็ตที่คุณอองตวนเคยวาดเล่นในสมัยที่ยังเป็นเด็ก
และในส่วนสุดท้ายก็คือห้องที่จำลองบรรยากาศของดวงดาวต่างๆจากในหนังสือที่เจ้าชายน้อยได้เดินทางไปพบ รวมไปถึงเจ้าหมาจิ้งจอก
เพื่อนตัวแรกบนพื้นโลกและดอกกุหลาบแสนสวย ผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจและความรักของเจ้าชาย

รวมไปถึงห้องที่จัดแสดงหนังสือเจ้าชายน้อยที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆจากทั่วโลกเอาไว้ให้ชมกัน
เมื่อเราค่อยๆติดตามและทำความรู้จักกับ อองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรี มากขึ้นทีละนิดๆ เราก็พบว่าเขาช่างคล้ายกับตัวละคร ’นักบิน’
ในหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นความชอบในด้านการวาดที่สะสมมาในสมัยเด็กหรือการเบนเข็มมาทำอาชีพหลัก
ที่เหมือนเกินกว่าจะเป็นความบังเอิญอย่างการเป็น ‘นักบิน’ ผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์เครื่องบินตกกลางทะเลทรายและเอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
อีกอย่างที่ทั้งบังเอิญและแสนเศร้า ก็คือ ‘ฉากสุดท้ายที่จบลงด้วยการจากไปของตัวละครเอก’
“ จงมองภาพนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อจะได้แน่ใจว่าจะจำภาพนี้ได้ ถ้าหากวันหนึ่งคุณมีโอกาสเดินทางไปในแอฟริกา
ในทะเลทราย และ ถ้าบังเอิญคุณมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ฉันขอร้องคุณอย่ารีบร้อนไป รอสักครู่หนึ่งตรงจุด
ใต้ดวงดาวนั้น ถ้าหากมีเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาทักคุณ ถ้าเขาหัวเราะถ้าเขามีผมทองถ้าเขาไม่ตอบคำถามของคุณ
เวลาคุณถาม คุณจะเดาได้ทันทีว่าเขาคือใคร ได้โปรดกรุณาเถิด ช่วยส่งข่าวถึงฉันด่วนว่าเขากลับมาแล้ว…
อย่าปล่อยให้ฉันเศร้าโศกต่อไปเลย ”
– เจ้าชายน้อย อองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรี เขียน, อำพรรณ โอตระกูล แปล
ในปี 1944 อองตวน เดอ แซงเตก–ซูเปรี หายตัวไปอย่างลึกลับในการขึ้นบินลาดตระเวน หลังจากที่หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย
ออกพิมพ์ได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ซึ่งกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเคยพบเห็นนักบิน นักเขียน และนักวาดผู้นี้บนโลกของเรา
ผู้คนมากมายออกมาตั้งข้อสันนิฐานถึงการจากไปในครั้งนั้น จนกระทั่งผ่านมาถึง 50 ปี จึงมีการค้นพบหลักฐานเป็นสร้อยข้อมือ
ที่ระบุชื่อและสามารถสรุปได้ว่าเครื่องบินของเขาถูกยิงตกใกล้กับชายฝั่ง ทางตอนใต้ของเมืองมาร์แซย ประเทศฝรั่งเศส
แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าข้อสันนิฐานที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย เพราะเจ้าชายน้อยและนักบินเคยสอนให้เรารู้ว่า
“เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งที่สำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”
ดังนั้นทุกๆครั้งที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเราจึงรับรู้ได้อยู่เสมอว่า ในขณะนี้นักบินได้ขับเครื่องบินเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อนตัวน้อยของเขา
ที่ดาวหมายเลข B612 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ต้องทนโศกเศร้าด้วยความคิดถึงอยู่บนโลกอีกต่อไป :)
ชอบบทความนี้ ติดตามรีวิว ท่องเที่ยว อาหาร ไลฟ์สไตล์ ต่อๆไปของเรา
กดไลค์ Facebook Fan Page : somewhere only we go ได้ที่ด้านล่างนี้กันนะฮะ :)