‘Yingge’ Ceramics Wonderland แดนมหัศจรรย์ของเหล่าเครื่องปั้นดินเผา
เมืองนี้ที่เราจะพาไปเที่ยวกันในวันนี้มีชื่อว่า
อิงเกอ (Yingge 鶯歌)
อิงเกอ เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากไทเป และมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเมืองที่เป็นต้นกำเนิดอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในไต้หวัน
แถมยังมีโรงงานและร้านค้าเซรามิกซ์มากถึงหลายร้อยร้านเลยทีเดียว ยิ่งได้รู้จักเราก็ยิ่งพบว่า เครื่องปั้นดินเผานี่แหละที่แทบจะเป็นลมหายใจของเมืองเลยล่ะ!
ได้ยินคำว่าเครื่องปั้นดินเผา หลายคนอาจจะนึกถึงอะไรน่าเบื่อๆหรือเก่าแก่โบร่ำโบราณ แต่อยากให้ลองลืมๆความรู้สึกพวกนั้นไปก่อน
เพราะเครื่องปั้นดินเผาที่เราจะได้ไปเจอในวันนี้มันโมเดิร์นมากก เก๋มาก ชิคมาก
เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยากชวนทุกๆคนไปลองดูกันว่า Ceramics Wonderland ที่เราได้เจอมาวันนี้มันจะเป็นยังไงแน่ ป่ะ! ไปดูกัน!
นั่งรถไฟจากไทเปไม่นาน ประมาณ 2 ชั่วโมง (?) เราก็มาถึงกันแล้วที่สถานี Yingge นั่นเอง
แอบแวะซื้อไอติมในสถานีกันคนละอันแล้วก็ออกมาสู่โลกภายนอกกันเล้ยย
ทันทีที่ออกมาจากสถานี พอก้มลงไปมองบนพื้นก็เห็นสิ่งนี้
แล้วพอเงยหน้าขึ้น ภาพโมเสกที่ทำจากกระเบื้องก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา เป็นการ์ตูนแมวน้อยน่ารักซะด้วย
รู้อยู่หรอกว่าเป็นเมืองเซรามิกส์ แต่คิดจะดักกันทุกก้าวเลยหรอเนี่ย?
ก่อนจะออกเดินทางก็แวะนั่งกินไอติมที่ซื้อมากันซะหน่อย เดี๋ยวจะละลายซะก่อน ฮาา
สตรอเบอร์รี่ครันซ์ชี่ กับ ไอติมมะม่วงเจ้าไข่ขี้เกียจ
อร่อยทั้งคู่~~ สตรอเบอร์รี่คือดีมากกกก
ลีลามามากแล้ว เดินกันซะทีดีกว่า
ตึกรามบ้านช่องสร้างด้วยอิฐสีแดงๆเป็นนี้ซะส่วนใหญ่เลยล่ะ
อ้าว ลืมบอก ที่ๆเราจะมุ่งหน้าไปกันเป็นที่แรกคือนี่
‘yingge ceramics museum’ ล่ะค่ะ
เห็นป้ายแล้วก็เดินตามไปได้เล้ย
ระหว่างทางเราก็จะเจอร้านขายสินค้า ceramic กันอยู่หลายร้าน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในย่านหลักอย่าง Yingge old street ก็ตาม
เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เจอเลยดีกว่า
แต่ละร้านก็มีตั้งแต่หน้าตาพื้นเมืองสุดๆ หน้าตามุมิคาวาอี้อย่างกับร้านกาแฟญี่ปุ่น ไปจนถึงร้านหรูหราที่ดูขลังสุดๆเลยล่ะ
เดินกันพอเพลินๆ ไม่นานก็ถึง ‘yingge ceramics museum’ หรือพิพิธภัณท์เครื่องปั้นดินเผาอิงเกอ กันแล้วว
บนตัวอาคารติดป้ายบอกว่าตอนนั้นมีนิทรรศการหมุนเวียนอะไรจัดแสดงอยู่บ้าง แต่เราก็อ่านไม่ออกอยู่ดี ฮา
เข้าไปกันเลยดีกว่าา
พอเข้ามาในเขตพิพิธภัณฑ์ปุ๊บเราก็เจองานศิลปะที่ทำจากเซรามิกซ์คอยต้อนรับอยู่ทันที
ขอตั้งชื่อว่า เจ้าสะพานโค้งกับเจ้าบัวลอยสายรุ้ง
บรรยากาศข้างนอกพิพิธภัณฑ์ ตึกสูงใหญ่อลังการ
ป้ะๆ เข้าไปข้างในกันเถอะ
พอเข้ามาถึง เราก็มาอยู่กลางห้องโถงใหญ่ของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมใหญ่โต หลังคาโปร่ง
ตกแต่งด้วยกระจกและปูนเปลือย ให้ความรู้สึกแข็งทื่อแต่ก็น่าเกรงขามและชิคคูลมาก
เห็นท่าทางอลังการอย่างนี้ ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชมนะคะจะบอกให้
ก่อนจะเข้าไปชมนิทรรศการหลัก ในฐานะที่เป็นต่างด้าว เราก็แค่ต้องเดินไปขอวิทยากรพกพา
ที่จะคอยอธิบายข้อมูลภาษาอังกฤษให้เราฟังมาเท่านั้นเอ๊งง (หรือจะไม่ขอก็ได้นะ)
รับท่านวิทยากรได้ที่เคาท์เตอร์นี้ๆ
ตรงนี้เป็นร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ที่มีเครื่องปั้นดินเผาขายอยู่ด้วยเหมือนกัน
แต่เราไม่ได้แวะเข้าไปเพราะส่องดูแล้วราคาแรงอยู่ กลัวไปเดินชนอะไรตกค่ะ ฮ่าๆ
ฝากข้าวของที่พะรุงพะรังแล้วก็กดน้ำฟรีมาแก้กระหายหน่อย ใส่ถ้วย(ถุง)กระดาษซะด้วย เก๋มาก
เข้าไปกันเถอะ (ในที่สุด) เย่ะ
ลอดอุโมงค์เตาเผานี้แล้วไปกันเล้ย
ในช่วงต้นนี้จัดแสดงความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผาในอดีต พร้อมกับมีเตาเผาโบราณโชว์ให้ดูด้วย
ถึงจะพูดถึงอะไรโบราณๆแต่พิพิธภัณฑ์บอกเล่าเอาไว้อย่างโมเดิร์นมากนะ ไม่เชื่อดูดิ
สวยอย่างกับเดินดูแกลลอรี่
การทำลวดลายต่างๆลงบนกระเบื้องดินเผา สวยสุดๆ
อันนี้น่ารัก เป็นตัวอย่างการขึ้นรูปดินแบบต่างๆ
หล่อออกมาเป็นไอรอนแมนจิ๋วด้วยล่ะ
พวกนี้เป็นโมเดลของเตาเผารูปแบบต่างๆ ทำละเอียดจริงจังมากๆ

เสร็จจากชั้นแรกเราก็วนบันไดขึ้นมาที่ชั้น2
เห็นตาข่ายสีขาวนี่มั้ยอ่ะ เราชอบมาก เหมือนสนามเด็กเล่นเลย อยากสไลด์ไปตามเชือกแล้วปืนกลับขึ้นมา
(แต่ห้ามทำนะ เพราะจริงๆเป็นเชือกกันตกบันไดนี่แหละ ห้ามเล่นซนนะ)
ชั้นบนจะจัดแสดงเซรามิกซ์ที่เป็นของจริงพร้อมคำอธิบาย แถมยังโชว์ได้สวยสดเหมือนเดิม
ถ้าไม่ได้ดูคงไม่ได้สังเกตเหมือนกันนะว่าเครื่องปั้นดินเผานี่เป็นอะไรที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนสมัยก่อนมากจริงๆ
ทั้งจานชาม ปิ่นโต ตุ๊กตาแต่งบ้าน พระพุทธรูป กระเบื้องบนพื้น อิฐบนกำแพง ยันโถส้วมก็ยังสร้างจากเซรามิกซ์

Projection Mapping บนกองทัพคอห่าน น่ารักมั้ยล่ะ
เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น เทพกวนอูกับเจ้าแม่กวนอิม สวยมากๆ
ทางเดินระหว่างห้องก็มีตกแต่งด้วยภาพศิลปิน
พอออกมาก็จะเจอกับห้องที่จัดแสดงเซรามิกซ์สมัยโบราณ
ตรงนี้เป็นโซนพิเศษที่ให้เราเข้าไปจับไปลูบไล้ได้

โมเดลของพิพิธภัณฑ์นี้ที่ทำจากเครื่องปั้นดินเผา สวยงาม
เจ้าห้าก้อนนี้น่ารักมากเลย ชอบบ
พอล้วงมือเข้าไปเราก็จะได้เจอกับเซรามิกซ์รูปที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เพ้นท์อยู่บนแต่ละก้อน
แต่เพราะว่าทั้งโถที่ใส่กับของข้างในก็เป็นเซรามิกซ์ทั้งคู่ ถ้าวางไม่ระวังก็อาจจะทำให้แตกได้
ทางพิพิธภัณฑ์เค้าก็เลยบุด้านในเอาไว้ด้วยโฟมสีๆเพื่อกันกระแทก ทั้งน่ารักทั้งมีประโยชน์เลยเนอะ
และส่วนสุดท้ายของนิทรรศการหลักก็คือส่วนนี้ซึ่งจัดแสดงการใช้งานเซรามิกซ์ในปัจจุบันและในอนาคตนั่นเอง
แต่ยังเหลือนิทรรศการหมุนเวียนให้ดูกันอีกเยอะมากกก นั่งนานมากจะเสียเวลา ไปกันต่อเล้ยย
ห้องนี้เป็นนิทรรศหมุนเวียนอันแรก ที่รวบรวมงานเซรามิกซ์แบบต่างๆจากหลายๆศิลปินมาจัดแสดงเอาไว้
ขอไม่อธิบายอะไรมากเพราะเราไม่รู้ ฮ่าๆ ไปดูรอบๆกันดีกว่าเนอะ

เครื่องปั้นดินเผาในห้องนี้ มีทั้งแบบเก่าและใหม่ ดูสวยมากทั้งนั้นเลย บางอันก็ modern มากๆ บางอันก็สวยวิจิตรจริงๆ
เป็นรูปนกและปลา ก็เหมือนมาก
หินราชินีจาก yeliu ก็มาาาา

เกี่ยวกับการพัฒนาสู่การเป็นเมืองเซรามิกส์อันตับหนึ่งของไต้หวัน และ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากวัฒนธรรม เครื่องปั้นดินเผา
แต่ข้างในไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร เราเลยอยู่ไม่นาน
อันนี้เป็นโมเสกที่ทำออกมาเป็นภาพ starry night ของ van gogh
คอห่านหลากยุค และไหหน้าคน
จบจากนิทรรศนี้เราก็กลับมาลงที่ชั้นล่างสุดเพื่อสุดนิทรรศหมุนเวียนอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นงานของศิลปินสาวไต้หวัน Tsai Ying-chen
ซึ่งเป็นงานที่เราชอบมากเพราะมันน่ารักมากกก
มันบูดเบี้ยวไม่สมบูรณ์แบบ แต่อ่อนโยนและดูเป็นมิตร
ดูสบายตาและสบายใจ แต่ก็ไม่เนี้ยบจนไม่กล้าเข้าใกล้
สวยจนเหมือนเป็นภาพวาด หรืออะไรที่ไม่เคเห็นมาก่อนเลย เหมือนหลุดมาจาก anime ของ Ghibli ยังไงอย่างงั้น
ทำพื้นผิวเซรามิกซ์ให้เป็นฝุ่นๆฟุ้งๆเหมือนดูอย่างกับกำมะหยี่สีพาสเทลเลยเนอะ
สีสันก็สวยแบบ ไม่น่าจะเป็นเซรามิกส์ได้เลยจริงๆ
เสร็จออกมาจากนิทรรศการนี้ ขาเราก็ล้ามากๆพอๆกับที่ท้องหิวมากๆแล้ว เพราะฉะนั้นจนกว่าจะได้นั่งพักและกินข้าว อย่าหวังว่าเราจะทำอะไรอีกเลย 555
ว่าแล้วเราก็มุ่งหน้าลงมาที่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณธ์ซึ่งมีร้านอาหารตั้งอยู่แล้วเริ่มสั่งอาหารกันทันที
ได้ลาซานญ่ากับสปาเกตตี้โบโลเนสมาคนละจาน อร่อยยย
สปาเกตตี้จานใหญ่มากก
หลังจากพักกันจนเต็มอิ่ม เราก็ออกเดินกันต่อเพราะเป้าหมายของเรายังเหลืออีกเยอะ!
ที่ชั้นล่างนี้ จากนอกจะมีร้านอาหารแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของที่เวิร์คช็อปเซรามิกซ์สำหรับเด็กๆด้วย (เปิดเป็นรอบๆ)
แต่เราไม่ใช่เด็กแล้วก็เลยต้องขอบาย เดี๋ยวเราจะไปปั้นกันอีกที่นึง ต้องอดใจรอไปก่อน
ชั้นนี้ก็มีงานศิลปะจากเซรามิกซ์จัดแสดงอยู่นิดหน่อย แต่สวยๆทั้งนั้น
สถานที่ต่อไปที่เรากำลังจะไปก็คือ ‘Ceramics Park หรือ สวนเซรามิกซ์’ ที่ตั้งอยู่หลังพิพิธภัณฑ์นั่นเองงง
พอคิดย้อนไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองตอนนั้นฟิตดีจัง.. ตอนนี้แค่คิดย้อนไปก็ปวดขาแล้วอ่ะ
ทะลุออกมาด้านหลังแล้วลอดอุโมงค์นี้ไปก็ใกล้จะถึงแล้ว
ตรงนี้มีให้คู่รักมาแขวนกุญแจด้วยแฮะ
ระหว่างทางเราก็เดินผ่าน Little Potter Playroom ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไรแต่ดูจากชื่อแล้วน่ารักดีก็เลยแวะเข้าไปซะหน่อย
ปรากฎว่าเป็นห้องเล่นของเด็กตามชื่อนั่นแหละ แล้วก็มีโซนขายของที่ระลึกอยู่ด้วย
ตกแต่งน่ารักดีและแอร์เย็นสบายมาก ไม่อยากออกไปเจอแดดร้อนๆข้างนอกล้าวว
แต่แน่นอนว่าเพราะเราไม่ใช่เด็ก แถมไม่ใช่ผู้ปกครอง เราก็เลยต้องจากที่นี่ไปตามระเบียบ
โดยซื้อไอติมรสมะนาวมาย้อมใจหนึ่งแท่งก่อนออกไปเจอความร้อน
ตรงปลายไม้ไอติมเป็นเซรามิกซ์รูปใบโคลเวอร์สำหรับให้แกะมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ด้วย น่าร้ากก
กินไอติมเสร็จเราก็เริ่มเดินสำรวจสวนกัน
ภายในสวนจะตกแต่งด้วยงานศิลปะจากเซรามิกซ์เอาไว้เพียบเลย แต่ละอันก็จะติดป้ายบอกชื่องานและชื่อศิลปินเอาไว้ด้วย
อันนี้เค้าบอกว่าชื่อ ‘พรมเช็ดเท้า’ แหละ
ก็เหมือนอยู่นะ ฮ่าๆ
เดินไปเรื่อยๆก็เจอนี่ สนามเด็กเล่นที่เครื่องเล่นทำจากเครื่องปั้นดินเผาล้วนๆ!!
อันนี้น่ารักมากกก แถมเด็กๆก็ดูชอบ เล่นกันสนุกเลย
จริงๆสวนกว้างมากก แต่เราเริ่มเดินกันไม่ไหว แถมยังมีที่อื่นต้องไปต่อ
เราก็เลยเดินย้อนกลับออกไปทางเดิมเพื่อมุ่งหน้าไปที่จุดหมายต่อไป ซึ่งคราวนี้เราจะได้ปั้นเซรามิกซ์กันด้วยมือตัวเองแล้ว
สถานที่นั้นก็คือร้าน The Shu’s Pottery ที่ถนน Yingge old street นั่นเอง เย้~~~
กลับออกจากพิพิธภัณฑ์มาเราก็เดินตามป้ายที่บอกว่าเป็นทางไปล่ะค่ะ..
เข้าป่าเข้าพงมาในย่านชุนชนเฉยเลย
โอยย บอกทีว่าเราไม่ได้ต้องขึ้นบันไดที่สูงขนาดนั้น ฮืออ
ถึงตอนนี้เราเริ่มไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าทางลัดนี่มีจริงมั้ย หรือเราจะหลงแล้วกันน้า…
แต่พอเดินต่อมาได้อีกหน่อยก็เจอสกายวอร์คที่ดูน่าจะพอเราไปถึงจุดหมายได้ก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
ข้ามทางรถไฟด้วย อลังการมาก
กลายเป็นได้ชมวิวเมืองสวยๆเฉยเลย
เดินตากลมชมวิวเพลินๆพอชะโงกลงไปมองก็เห็นว่าเรามาถึง Yingge old street กันแล้ว เย่ะะ
ตึกเก่าสองข้างทาง พื้นกระเบื้อง และต้นมะพร้าว สวยงามตามท้องเรื่อง
ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองริมทะเลเนอะ ฮาา
ลงจากทางเชื่อมมาปุ๊บเราก็มาอยู่ในถนนกันแล้ว กราบขอบคุณพี่ทางลัดจริงๆค่ะ ขอโทษที่สบประมาทพี่ ฮือ
มีพี่ศิลปินมาโชว์แสดงกับลูกแก้วด้วย เก่งมากก
เราตั้งใจว่ามาถึงจะรีบไปที่ The Shu’s Pottery กันก่อนแล้วค่อยเดินถนน เพราะฉะนั้นก็ไปกันเลยค่า
มาถึงแล้วที่หมายของเรา
โซนหน้าร้านจะเป็นโซนขายงานเซรามิกซ์ที่จัดทำโดยทางร้าน ส่วนด้านในจะเป็นที่ๆเราจะมา Workshop เซรามิกซ์กันนี่แหละ
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จก็มาเดินช็อปของในร้านรอให้ถึงรอบของเราค่ะ
โดยแบบที่เราเลือกทำคือ ได้ลองปั้นบนแท่นหมุน และตกแต่งตามใจชอบ โดยมีพี่พนักงานคอยสอนตลอด
ทำเสียก็ทำใหม่ได้ เรานี่ทำเป็นสิบๆรอบ (รวมทั้งหมด 1 ชั่วโมง) แต่พอทำเสร็จแล้วไม่ได้นำไปเข้าเตาอบ
เพราะการอบกว่าจะเสร็จต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งเรากลับไทยไปแล้ว ถ้ามีคนรู้จักอยู่ที่นี่ให้ส่งไปรษณ์ไปบ้านเค้าก็ได้
หรือให้ส่งไปรษณ์กลับไทยก็ได้เหมือนกันแต่ค่าส่งแพงม๊ากก เราก็เลยไม่เอาดีกว่า ยาจกสไตล์ค่ะ ( ของเรา ราคา 170 NT ต่อคน )
พอถึงคิวก็ต้องเอาข้าวของทั้งหมดไปใส่ล็อกเกอร์ ใส่ผ้ากันเปื้อน เตรียมเลอะ
เพราะฉะนั้นตอนทำอยู่ที่แป้นหมุนเราก็เลยไม่มีรูปตัวเองเลยค่ะ เพราะมือเลอะกันทั้งคู่
นี่แอบถ่ายคนที่ทำรอบก่อนหน้าเราเอาไว้
แอบบอกว่าพี่พนักงานที่ช่วยสอน Workshop หล่อมาก คือดีต่อใจจริงๆ (ฮา)
คิดว่าเค้าน่าจะเป็นนักศึกษาเซรามิกซ์ที่มาฝึกงานที่นี่นะ เพราะเก่งมาก ให้ช่วยอะไรก็ได้หมด ขอจานได้จานขอถ้วยได้ถ้วย
เค้าก็จะมานั่งประกบเราที่ฝั่งตรงข้ามแบบในรูปนี่แหละค่ะ (พนักงานจะใส่ผ้ากันเปื้อนที่เป็นผ้า ส่วนของที่มาเวิร์คช็อปจะเป็นพลาสติกค่ะ)
ปกติแล้วถ้าเป็นคนที่ฟังจีนออก เค้าจะมีการบรรยายอะไรนิดหน่อยให้ฟังก่อนจะเริ่ม แต่เราไม่สามารถ
เพราะฉะนั้นก็เลยถูกแยกมานั่งที่แป้นหมุนและเริ่มทำได้เลย
พี่พนักงานคนที่สอนเราก็จะสอนตั้งแต่การเปิดเครื่อง เตรียมดิน การกะน้ำหนักการเหยียบแป้นหมุน และวิธีการบังคับดินให้เป็นรูปตามที่เราต้องการ
ซึ่งมันยากมากกกกก ทำแล้วเละ ทำแล้วเละ เป็นกันทุกคน ฮ่า
แต่เค้าก็ไม่รีบร้อนเร่งเร้าอะไรนะ ทำเละก็เอาดินไปใส่กะบะรีไซเคิลแล้วไปหยิบก้อนใหม่มาใช้ได้เลย หรือถ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษก็บอกได้
เค้าจะช่วยสอน (หรือถ้าเค้าพิจารณาว่าคุณไม่รอดแน่ๆแล้ว เค้าก็จะช่วยทำ…)
เราทำไปเกือบชั่วโมง พอได้อันที่รู้สึกพอใจก็เรียกพนักงาน เค้าก็จะช่วยยกมาไว้บนถาดให้เราถือไปปั้นดินตกแต่งลวดลายต่อในขั้นต่อไป
อันนี้เป็นของที่เราทำมา
ลายตกแต่งชุ่ยมาก ฮ่าๆ
ทำเสร็จก็เอาไปตั้งบนชั้น แล้วก็บอกลากับมันได้เลยค่ะถ้าไม่ได้เสียตังเอาเข้าเตาอบ
เดี๋ยวทางร้านก็จะเอามันไปรวมกับดินรีไซเคิลมาให้คนอื่นๆใช้ในการฝึกต่อไปนี่แหละ (แง)
ออกมาจาก The Shu’s Pottery ที่ถนนก็แดดร่มลมตกพอดีค่ะ
เราก็เลยเดินเล่นไปทั่วๆ ซื้อเซรามิกซ์จุ๊กจิ๊กมาได้นิดหน่อย เพราะราคาเซรามิกซ์ที่ถนนไม่แพงเลย
ใครเป็นพวกบ้าเครื่องปั้นดินเผา ถ้วยชา กระถาง โหล ต่างๆนาๆจะคลั่งมาก
การได้มาที่อิงเกอทำให้เราคิดว่า การที่อุตสาหกรรมเก่าแก่ของเมืองค่อยๆเติบโตไปตามยุคสมัยนี่มันเป็นอะไรที่ดีมากๆเลยนะ
สร้างทั้งรายได้ ศิลปะ และชีวิต ให้กับคนในชุนชน พอไม่สตาฟฟ์ตัวเองไว้ในอดีต มันก็พร้อมที่จะเติบโตไปเป็นอะไรก็ได้
อิงเกอเลยไม่ได้เป็นแค่เมืองที่เต็มไปด้วยโรงงานเครื่องปั้นดินเผาราคาถูกยกโหล แต่เป็น ‘เมืองที่มีลมหายใจเป็นเครื่องปั้นดินเผา’ แทน
ที่นี่มีทั้งแหล่งผลิต แหล่งขาย แหล่งความรู้ และแหล่งท่องเที่ยว มีช็อปของศิลปินในชุมชนมากมาย
ที่สร้างสรรค์และเพิ่มมูลค่าจนมันไม่ใช่แค่ถ้วยหรือจานอีกต่อไป แต่กลายเป็นศิลปะที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในชุมชน
ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นอะไรที่พิเศษและมีเสน่ห์มากกก เจ๋งมากกกก และเราชอบมากกกกก จนอดที่จะตกหลุมรักเมืองนี้ไม่ได้
เราเดินไปเรื่อยๆก็ย้อนไปถึงแถวสถานีพอดี ช่วงเย็นๆบรรยากาศดีสุดๆแถมอากาศก็ไม่ร้อนแล้วด้วย
รู้ตัวอีกทีเราก็ต้องบอกลาเมืองนี้กันแล้ว
แสงสุดท้ายที่อิงเกอสวยมากเลยเนอะ
แล้วเจอกันใหม่นะอิงเกอ ☺
วิธีการเดินทาง : นั่ง TRA Train จากสถานี Taipei main station ไปทาง Hsinchu แล้วไปลงที่สถานี Yingge :)
ชอบบทความนี้ ติดตามรีวิว ท่องเที่ยว อาหาร ไลฟ์สไตล์ ต่อๆไปของเรา
กดไลค์ Facebook Fan Page : somewhere only we go ได้ที่ด้านล่างนี้กันนะฮะ :)